การ “ลดหย่อนภาษี” เป็นเรื่องที่คนทำงานและผู้มีรายได้ควรใส่ใจ เพราะไม่เพียงช่วยลดภาระภาษีที่ต้องจ่าย แต่ยังสามารถวางแผนการเงินระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกวิธีลดหย่อนภาษีให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์และเป้าหมายชีวิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น บางคนเน้นการออมเพื่ออนาคต บางคนอยากลงทุนเพิ่มผลตอบแทน หรือบางคนเลือกทำเพื่อสังคม OCEAN LIFE ไทยสมุทร จึงอยากแนะนำเทคนิคการลดหย่อนภาษี ปี 2568 ที่น่าสนใจ 3 แบบ ได้แก่ การลดหย่อนภาษีด้วยประกันชีวิต, การลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน และการลดหย่อนภาษีด้วยการบริจาค ซึ่งแต่ละวิธีจะมีแนวทางที่แตกต่างกันออกไป
เทคนิคลดหย่อนภาษีด้วยประกันชีวิต
Step 1 รู้จักประเภทของประกันชีวิตที่ลดหย่อนภาษีได้
1. ประกันคุ้มครองตลอดชีพ
2. ประกันสะสมทรัพย์
ประกันคุ้มครองตลอดชีพและประกันสะสมทรัพย์ต้องมีระยะเวลาเอาประกันภัยอย่างน้อย 10 ปี โดยเบี้ยประกันชีวิตสามารถนำมาอ้างอิงลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หากเป็นประกันชีวิตที่มีการรับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนในระหว่างอายุกรมธรรม์ จะต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิตรายปี
3. ประกันสุขภาพ
สำหรับเบี้ยประกันสุขภาพ สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท โดยเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
4. ประกันบำนาญ
เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนได้สูงสุด 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และค่าลดหย่อนเมื่อรวมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กองทุนสงเคราะห์โรงเรียนเอกชน และ RMF แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
อ่านรายละเอียดการลดหย่อนภาษี 2568 ด้วยประกันชีวิต 4 แบบ ฉบับเต็มได้ที่นี่
Step 2 เลือกประเภทประกันชีวิตที่เหมาะกับความต้องการ
หากต้องการความคุ้มครองชีวิต และสร้างเงินก้อนให้กับครอบครัว เลือก ประกันคุ้มครองตลอดชีพ
หากต้องการสร้างวินัยการออม และอยากเก็บเงินก้อนเพื่อต่อยอด เลือก ประกันสะสมทรัพย์ คลิก
หากต้องการความคุ้มครองสุขภาพ และลดความกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล เลือก ประกันสุขภาพ คลิก
หากต้องการวางแผนเพื่อการเกษียณอายุ และมีเงินบำนาญใช้ในบั้นปลายชีวิต เลือก ประกันบำนาญ คลิก
หากมีความต้องการมากกว่า 1 อย่าง สามารถซื้อประกันชีวิตหลาย ๆ ประเภทได้ เช่น นาง A อายุ 37 มีบุตร 1 คน กำลังจะเรียนจบชั้นประถมศึกษา นาง A ต้องการให้บุตรมีเงินก้อนไว้เป็นทุนการศึกษาต่อในกรณีที่ตนเองเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ประกอบกับนาง A ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ที่ไม่มีสวัสดิการสุขภาพ นาง A จึงเลือกลดหย่อนภาษีด้วยประกันคุ้มครองตลอดชีพควบประกันสุขภาพ
นาย B อายุ 40 ปี เป็นโสด พ่อแม่เป็นข้าราชการบำนาญที่มีเงินบำนาญและสวัสดิการสุขภาพ ทำให้ นาย B สามารถลงทุนและเก็บออมได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลพ่อแม่ นาย B จึงเลือกลดหย่อนภาษีด้วยประกันสะสมทรัพย์ โดยมีเป้าหมายนำเงินก้อนที่จะได้เมื่อครบกำหนดสัญญามาลงทุนทำธุรกิจเล็ก ๆ นอกจากนั้น นาย B ยังเริ่มคิดถึงการเกษียณอายุที่จะเกิดขึ้นในอีก 20 ปีข้างหน้า จึงเลือกทำประกันบำนาญด้วย
สนใจลดหย่อนภาษีด้วยประกันชีวิตแบบครบวงจร อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
เทคนิคลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน
Step 1 รู้จักประเภทของกองทุนที่ลดหย่อนภาษีได้
1. กองทุน RMF (Retirement Mutual Fund)
ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท (รวมกับประกันบำนาญและกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ) ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี หรือปีเว้นปี และถือครองหน่วยลงทุนจนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
2. กองทุน Thai ESG
ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน ไม่เกิน 300,000 บาท โดยต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันลงทุน (วันชนวัน) และลงทุนทุกปี (ยกเว้นปีเว้นปีได้ 1 ปี)
3. กองทุน Thai ESGX
ต้องเป็นการสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เดิมเท่านั้น ซึ่งในปี 2568 สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท โดยต้องลงทุนในช่วงวันที่ 1 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน 2568 และต้องถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันลงทุน
Step 2 เลือกประเภทกองทุนตามความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้
สามารถสำรวจความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ได้ที่บทความ รับความเสี่ยงได้เท่านี้ ลดหย่อนแบบไหนดี คลิก
เทคนิคลดหย่อนภาษีด้วยการบริจาค
Step 1 รู้จักประเภทของการบริจาคที่ลดหย่อนภาษีได้
1. เงินบริจาคทั่วไป เช่น บริจาคให้วัด บริจาคให้สถานสงเคราะห์เด็ก เป็นต้น สามารถลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุด 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น
2. เงินบริจาคให้สถานศึกษาหรือโรงพยาบาลของรัฐ สามารถหักลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินที่บริจาค สูงสุด 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น
Step 2 เลือกบริจาคกับองค์กรที่อยู่ในรายชื่อของกรมสรรพากร
เพื่อความสะดวกรวดเร็วให้เลือกบริจาคให้กับองค์กรหรือหน่วยงานที่มีรายชื่อในระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Donation ของกรมสรรพากร จะช่วยให้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ โดยไม่ต้องนำหลักฐานการบริจาคมาแสดงต่อกรมสรรพากร ซึ่งข้อมูลการบริจาคจะถูกส่งไปยังระบบ D-myTax และจะแสดงข้อมูลให้อัตโนมัติเมื่อยื่นภาษีออนไลน์ผ่านระบบ e-Filing
การวางแผน ลดหย่อนภาษี 2568 ไม่ใช่เพียงแค่ลดภาระเรื่องภาษีในช่วงต้นปี แต่ยังเปิดโอกาสให้คุณได้วางแผนการเงินอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อประกันชีวิตเพื่อความมั่นคง การลงทุนในกองทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งระยะยาว หรือการบริจาคเพื่อสังคม ทั้งหมดนี้หากเลือกให้เหมาะสมกับเป้าหมายและไลฟ์สไตล์ ก็จะช่วยให้คุณได้ทั้งความคุ้มค่าและความสบายใจในเวลาเดียวกัน